Tuesday, January 13, 2009

laoliang island



เพิ่งกลับมาจากเที่ยวเกาะเหลาเหลียงจังหวัดตรังค่ะ


นับเป็นการเดินทางที่ยาวนานและประทับใจ
ออกเดินทางตั้งแต่คืนวันพฤหัส ไปถึงท่ารถทัวร์จ.ตรังเช้าวันศุกร์
รถตู้ของบริษัทมารับไปกินอาหารเช้าแบบคนตรัง เป็นติ่มซำเล็กๆ หลายถาดมากองอยู่ตรงหน้า เลือกทานตามใจชอบ ตบท้ายด้วยโอวัลตินอุ่นๆ ก่อนที่จะไปเที่ยวในตัวเมืองตรังรอเวลาขึ้นเรือข้ามไปเกาะ
แวะชมบ้านคุณชวน หลีกภัย ทันทีที่ก้าวเข้าไปในพื้นที่ของบ้านก็รู้สึกถึงอากาศเย็นสดชื่น เพราะต้นไม้ใหญ่ในบ้านร่มรื่นกว่าบริเวณใกล้เคียงอย่างชัดเจน
จากนั้นไปรับเพื่อนร่วมทริปอีก 2 คนที่สถานีรถไฟ และเพิ่มอีก 2 คนที่โรงแรมในเมือง
เรานั่งเรือเฟอร์รี่ข้ามไปยังเกาะเหลาเหลียงในสภาพครึ่งหลับครึ่งตื่น เพราะเหนื่อยกับการเดินทางตลอดทั้งคืน พอไปถึงเกาะเหลาเหลียง เขาต้อนรับเราทั้ง 4 คนด้วยรอยยิ้มและภาษาใต้อย่างเป็นทางการ


เราพักเต็นท์ที่ 29, 30 นอนเต็นท์ละ 2 คน
คนอื่นๆ ไปลองปีนผากัน แต่เราไม่ถนัดกิจกรรมหนักเลยหนีไปดำน้ำตื้นกัน
ตื่นเต้นกับการได้เยี่ยมบ้านนีโม ถึงจะไม่ค่อยรู้เส้นทางเพราะไปกันเองแต่ก็สนุก


ตกเย็นเราเริ่มกังวลเรื่องของกิน เพราะที่นี่ทำอาหารเป็นเวลา กินสะเปะสะปะเหมือนปกติไม่ได้
เสียดายที่สุดคือไม่มีปูให้กิน จ๊ะบอกว่าต้องไปช่วยแรม 5 ค่ำ หรือ 8 ค่ำ ชาวประมงถึงจะมีปูมาให้กินกัน
เรานั่งกินข้าวริมหาด มองพระจันทร์เกือบเต็มดวง ลมพัดเย็นจนหนาวเป็นระยะ
ตอนแรกคิดว่าจะไปคุยกันต่อในเต็นท์ แต่สุดท้ายก็แยกย้ายกันไปนอนเพราะง่วงเหลือเกิน
เรารู้สึกปลอดภัยแม้ไม่ได้นอนในห้องมิดชิด
(แต่พอคืนแรกผ่านไปถึงได้รู้ว่าเรารู้สึกปลอดภัยอยู่คนเดียว
เพราะเพื่อนๆ รู้สึกวังเวงกับบรรยากาศอยู่เหมือนกัน)
ตอนเช้าคนอื่นยังไม่ยอมตื่นกัน อากาศดี สดชื่น เราคว้ากล้องไปถ่ายรูปเก็บไว้
เดินเท้าเปล่าบนทราย ชายหาดว่างเปล่า ไม่มีใคร
นั่งเรือออกไปดำน้ำตื้นอย่างสนุกสนาน
ผิวสีเข้มขึ้น สมองปลอดโปร่งขึ้น
ลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่กรุงเทพฯ จนหมดสิ้น


ตลอดเวลาที่อยู่ที่เหลาเหลียงรู้สึกดีใจที่เราไปพักผ่อนแบบไม่คุกคามธรรมชาติด้วยสิ่งก่อสร้างของมนุษย์
พยายามอย่างมากที่จะทิ้งขยะไว้ที่นั่นน้อยที่สุด อะไรเก็บมาทิ้งบนฝั่งได้ก็เก็บมา
ที่สำคัญยังได้ผูกมิตรกับเพื่อนใหม่ๆ ที่เราไม่เคยคิดว่าจะได้จากการเดินทางครั้งนี้
ถือว่าความเหนื่อยจากการเดินทางแลกมาซึ่งความสุขในการท่องเที่ยวได้คุ้มค่าที่สุด

Tuesday, November 25, 2008

เที่ยวอัมพวา

ไปเที่ยวอัมพวาคราวนี้ไม่เงียบเหงา เพราะไปกับเพื่อนๆ ม.ปลายรวมกันได้ 11 คน


กิจกรรมส่วนมากจะนั่งล้อมวงกันช่วยคิดเลข ตั้งแต่ไปถึงจนเย็นย่ำเรือมารับไปล่องชมบรรยากาศ 2 ฝั่งคลองจึงได้แยกวง


เที่ยววัดริมคลอง แวะตลาดน้ำเดินเที่ยว ซื้อหาของกินในตลาด
กลับมาก็มารวมวงกันใหม่
ถือเป็นการแข่งขันนัดกระชับมิตร
เพราะมีบ้างที่เป็นมิตรร่วมลงหุ้นกัน มีบ้างที่แตกหักจากการขาดทุน
ท้ายที่สุดต้องแยกย้ายกันไปนอนกลิ้งเก็บแรงไว้เที่ยวต่อวันรุ่งขึ้น


ขากลับแวะเที่ยวอุทยาน ร.2

แล้วก็ได้รูปอย่างที่เห็น
สนุกสนานกับการถ่ายรูปเล่นกับเพื่อนๆ แล้วก็รู้สึกติดใจ
อยากไปเที่ยวทริปใหม่กันอีกแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไร
กว่ารวมตัวกันได้มันเหนื่อยจริงๆ
โดยเฉพาะเรานี่แหละ อยากจะไปเที่ยวซะเหลือเกิน
แต่จองวันไปเที่ยวยาก
ไว้ปีหน้าหวังว่าจะได้เที่ยวมากกว่านี้อีก

Thursday, July 03, 2008

การแสดงของแสงบนเวที

เขียนลงในนิตยสาร Happening นานพอสมควร
แต่เป็นชิ้นหนึ่งที่ตั้งใจเขียนเพราะเราชอบเรียนวิชาออกแบบไฟ

มันเป็นการออกแบบที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ มุมมอง เพื่อแสดงให้เห็นอารมณ์ของเรื่อง

และที่สำคัญได้ออกแบบไฟครั้งแรกในละครกำกับของตัวเองด้วย

ความทรงจำของเรากลายเป็นส่วนหนึ่งของบทความที่เขียนให้คนอื่นๆ อ่าน ดีใจจริงๆ


......................


การแสดงของแสงบนเวที

พระอาทิตย์กำลังตกดินฉายแสงสีส้มทั่วท้องฟ้า เด็กสาวผมยาวหน้าตาน่ารักกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะข้างหน้าต่าง บนโต๊ะมีอุปกรณ์เขียนจดหมาย ถ้าให้เดาจากใบหน้ายิ้มแย้มของเธอ เธอน่าจะกำลังเขียนถึงคนรักที่อยู่แสนไกล

พระอาทิตย์ตกแล้วท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเข้ม เป็นเวลาที่บุรุษไปรษณีย์ผู้เป็นสามีของเด็กสาวกลับบ้าน เขาเมากลับมาเหมือนทุกวันในมือถือป้ายเลขที่บ้านเข้ามาด้วย เขาล้วงหาจดหมายที่ส่งมาถึงเด็กสาว เดินมาวางไว้ให้บนโต๊ะ ส่วนป้ายเลขที่บ้านเขาหาที่วางที่จะให้เด็กสาวเห็นชัดเจนที่สุดก่อนจะเดินไปที่เตียงล้มตัวลงนอน

เด็กสาวจ่าหน้าซองถึงผู้รับเสร็จแล้วกำลังเขียนที่อยู่ของผู้ส่ง แต่เธอนึกบ้านเลขที่ตัวเองไม่ออก เอ่ยถามบุรุษไปรษณีย์ว่า “พี่บ้านเราเลขที่เท่าไรนะ”

...

คำบรรยายข้างต้นคือภาพที่ปรากฏในฉากแรกของละครเวทีเรื่อง บุรุษไปรษณีย์ผู้หลงลืมเลขที่บ้านของตน ดัดแปลงมาจากเรื่องสั้นชื่อเดียวกันของคุณเรวัตร์ พันธุ์พิพัฒน์ ในหนังสือ ชีวิตสำมะหาอันใด เรื่องนี้เป็นละครเวทีเรื่องแรกที่ฉันได้เขียนบทและกำกับการแสดงสมัยเรียนปี 4 เพื่อเป็นการสอบปฏิบัติวิชากำกับการแสดง

สิ่งที่กำลังเขียนถึงต่อไปนี้ไม่ได้เกี่ยวกับละครเรื่องนี้สักเท่าไรค่ะ เพียงแต่อยากยกขึ้นมาให้ผู้อ่านได้ลองนึกภาพตามสิ่งที่เกิดขึ้นบนเวทีเท่านั้น

องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้คนดูเห็นภาพคือ แสง ถ้าสังเกตการบรรยายภาพจะเห็นได้ว่าแสงค่อยๆ เผยให้เห็นบรรยากาศ ฉาก ตัวละคร ต่อจากนั้นยังทำหน้าที่เคียงข้างนักแสดงไปจนจบเรื่อง

ในการออกแบบแสงในละครเวทีนั้นต้องคำนึงถึงการมองเห็นเป็นหลักค่ะ การจัดแสงเป็นการเลียนแบบมาจากแสงธรรมชาติที่อาบอยู่บนตัวเราทุกวี่วัน เพียงแต่แสงบนเวทีนั้นต้องสอดคล้องกับฉาก เลือกพื้นที่ในการมองเห็นบนเวทีเพื่อให้ความสำคัญต่อสารที่จะส่งไปยังคนดูอย่างครบถ้วนถูกต้อง รวมถึงเพิ่มและลดแสงในการมองเห็นอย่างเป็นธรรมชาติไม่ให้เป็นที่สังเกตมากเกินไปจนคนดูต้องหันมาจับผิดกันแทนที่จะสนใจละคร ดังนั้นแสงจึงเป็นได้ทั้งจุดเด่นและจุดด้อยของละครเวทีได้ หากไม่นำมาใช้อย่างถูกต้องเหมาะสม
แสงที่ช่วยในการมองเห็นเป็นสื่อในการรับและส่งสารค่ะ ดังนั้นในบทละครจะมีการระบุรายละเอียดของแสงไว้ด้วยว่าแสงจะเผยภาพแบบไหนให้คนดูได้เห็นกัน จะละเอียดมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับคนเขียนบทละครเรื่องนั้นๆ สุดท้ายแล้วการออกแบบแสงต้องผ่านการตีความจากบทละครเพื่อทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์

แสงมีหลายหน้าที่ หน้าที่แรกคือเพื่อการมองเห็นอย่างที่เล่าให้ฟังไปแล้ว นอกจากนั้นแสงยังบ่งบอกสภาวะอารมณ์และเวลา ให้ความรู้สึกหรือบรรยากาศ รวมถึงให้ความรู้สึกถึงพื้นที่กว้าง หรือแคบได้อีกด้วย
ในย่อหน้าแรกเราจะเห็นว่าแสงสีส้มและแสงสีฟ้าช่วยบ่งบอกเวลาโดยไม่ต้องพึ่งบทสนทนาของตัวละคร แล้วแสงที่ไม่ใส่เจลสีจะทำหน้าที่ให้การมองเห็น ดังนั้นไม่เพียงนักแสดงที่ทำหน้าที่แสดงเท่านั้นแสงยังมีส่วนในการแสดงเช่นเดียวกัน

การออกแบบแสงมีความละเอียดอ่อน เพราะแสงเป็นเครื่องมือที่ส่งผลต่อการมองเห็นของคนดูโดยตรง นอกจากจะต้องคิดว่าต้องใช้ไฟกี่ดวง มุมของไฟ การกระจายตัวของแสงและความเข้มของแสงจะเป็นอย่างไร สีที่จะช่วยในการสื่อความหมายและอารมณ์ตามบทมีสีอะไรบ้างแล้ว ยังต้องคำนึงถึงพื้นที่ ฉาก ของประกอบฉาก ความสูงของนักแสดง เงาที่จะเกิดบนเวที และความเคลื่อนไหวของแสงที่จะใช้ในแต่ละช่วง
ถึงจะฟังดูยากแต่ไม่ยากเกินกว่าที่จะเรียนรู้นะคะ เพราะหากเราทำความเข้าใจกับธรรมชาติของแสง เราจะสามารถนำคุณสมบัติของมันมาใช้ในการออกแบบได้

ในชีวิตประจำวันเราคลุกคลีอยู่กับแสงแดดและแสงนานาชนิด ไฟในบ้านแต่ละประเภทให้แสงที่แตกต่างกันอย่างไร แสงสร้างเงาแบบไหนได้บ้าง ข้อสังเกตเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้นักออกแบบนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งนั้น สมัยนี้คนที่ชอบพกกล้องถ่ายรูปคงพอรู้ว่าแสงแบบไหนถึงจะทำให้รูปออกมาดูสวย
ยิ่งคนที่เรียนศิลปะจะรู้ว่าแสงเงาสำคัญต่อการวาดภาพและลงสีแค่ไหน นักออกแบบแสงต้องศึกษาธรรมชาติของแสงเช่นเดียวกับคนเรียนศิลปะค่ะ เพราะการวางตำแหน่งไฟแต่ละดวงสร้างความแตกต่างให้กับภาพบนเวทีเหมือนกับการลงเงาในภาพวาดที่ให้ผลทางความรู้สึกต่างกัน

ความคิดสร้างสรรค์ทำให้ความเป็นไปได้ในการจัดแสงบนเวทีนั้นมีมากมายเหลือเกินค่ะ สิ่งที่เล่ามาเป็นพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับแสงที่ใช้ในละครเวทีที่ยังไม่ลงลึกไปถึงอุปกรณ์ที่ให้ผลต่างกันในการใช้งาน
ปัจจุบันเทคโนโลยีทันสมัยทำให้การออกแบบแสงมีความสมจริงและมีเทคนิคใหม่ๆ น่าสนใจมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังส่งเสริมให้มีการเล่าเรื่องแบบใหม่ๆ อีกด้วย เพราะนอกจากจะมีการเลียนแบบแสงธรรมชาติแล้วยังมีการนำสไลด์ เลเซอร์ เครื่องฉาย เข้ามาเป็นสื่อผสมในการนำเสนอด้วย

แต่ถ้าหากถามว่าการออกแบบแสงเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยไหน คงต้องย้อนไปถึงสมัยที่มีการสร้างโรงละครเป็นครั้งแรก ในสมัยกรีก โรงละคร Dionysus ที่เอเธน เป็นโรงละครแบบเปิดโล่ง หันไปทางทิศตะวันออก การแสดงละครนั้นจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาแตกต่างกันในแต่ละวัน เพราะโรงละครในยุคแรกต้องอาศัยแสงธรรมชาติจึงคำนึงถึงช่วงเวลาที่แสงอาทิตย์ตกกระทบในการแสดง

ในศตวรรษต่อมาการออกแบบไฟในละครเวทีมีการใช้ทั้งแสงธรรมชาติและวัสดุที่มนุษย์สามารถทำขึ้นเอง เช่น เทียน น้ำมัน คบไฟ ตะเกียง ยุคที่มีการใช้ตะเกียง น้ำมันก๊าด ส่งผลให้เกิดกลิ่นเหม็นและมีจำนวนโรงละครมากมายเกิดไฟไหม้ แต่การออกแบบแสงนั้นค่อยๆ มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นเช่นกัน

วิวัฒนาการการออกแบบแสงบนละครเวทีเดินไปพร้อมๆ กับการค้นพบสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ เมื่อมีการค้นพบหลอดไฟ การออกแบบแสงยุคสมัยใหม่จึงเริ่มต้นขึ้น การค้นพบนี้นำไปสู่การพัฒนาไฟขนาดเล็กที่สามารถนำไปติดตั้งตามตำแหน่งต่างๆ บนเวที

คงพอวาดภาพออกว่าการออกแบบแสงบนเวทีพัฒนาต่อเนื่องมาอย่างไรนะคะ ความตื่นเต้นที่มีต่อการออกแบบแสงบนเวทีดำเนินไปพร้อมกับการคิดประดิษฐ์อุปกรณ์ใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมไฟ หลักเบื้องต้นในการออกแบบแสงบนเวทีหลายอย่างมีส่วนในการคิดประดิษฐ์อุปกรณ์ใหม่ๆ ขึ้น จนกระทั่งการออกแบบแสงไม่ได้หยุดอยู่แค่วงการละครเวทีเท่านั้น มันก่อเป็นความรู้สมัยใหม่ของการออกแบบแสงภาพถ่าย หนัง ละครทีวี และการแสดงคอนเสิร์ตในปัจจุบัน

เพียงแต่การทำงานออกแบบแสงในภาพถ่าย หนัง และละครทีวี จะแตกต่างจากการออกแบบแสงบนเวทีเพราะต้องทำงานควบคู่ไปกับการทำงานของตากล้องที่ทำหน้าที่แทนสายตาคนดูอีกที

มีอีกหลายเรื่องราวเกี่ยวกับแสงค่ะ เพราะแสงสามารถเป็นสัญลักษณ์หนึ่งที่ทำให้คนดูตีความและวิเคราะห์อารมณ์และสิ่งที่ซ่อนอยู่ในตัวละครได้เหมือนกัน แต่สัญลักษณ์เหล่านี้ไม่ได้มีแค่บนเวทีหรือในหนังที่เราดูเท่านั้นนะคะ มันใกล้ตัวเรามากค่ะ มากเสียจนบางครั้งไม่ได้สังเกต ลองมองแสงที่รายล้อมอยู่รอบตัวเราสิคะ แล้วจะพบว่าธรรมชาติสร้างบรรยากาศในชีวิตให้เราไม่ซ้ำทุกวันเหมือนกัน

...

ท้องฟ้าเป็นสีแดงอมส้ม เผยให้เห็นตู้ไปรษณีย์สีแดงที่ตั้งอยู่ ริ้วรอยบนพื้นผิวบ่งบอกว่ามันยืนอยู่ตรงนี้เนิ่นนานแล้ว หญิงตาบอดเจ้าของดวงตาเศร้าสร้อยค่อยๆ เดินมาส่งจดหมายเหมือนทุกวัน เธอบรรจงหย่อนจดหมายส่งไปในตู้ไปรษณีย์ ไม่มีคำพูดสักคำ เธอมองตู้ไปรษณีย์อีกครั้งก่อนเดินจากไป

...

หน้ากาก


เด็กๆ จำไม่ได้เหมือนกันว่าเคยใส่หน้ากากตัวอะไรบ้าง

กระต่าย

แมว

ลิง

สิงโต

หรือ

ตัวการ์ตูนอื่นๆ

แต่เวลาใส่เราจะสามารถสวมบทบาทของตัวนั้นๆ ได้อย่างสนุกสนาน

สนุกเพราะเรารู้ว่าเรากำลังใส่หน้าของอะไรอยู่

กระต่ายจะกระโดดโลดเต้นใช่ไหม

แมวร้องเหมียวๆ

ลิงเกานู้นเกานี่

สิงโตคำรามน่าเกรงขาม แม้ว่าเราจะตัวเล็กเท่าแมวเหมียว

สนุกใช่ไหม

วันเวลาเหล่านั้นผ่านไปไม่รู้นานเท่าใด

เราไม่สามารถเอาหน้ากากใดมาใส่ให้ดูตลกได้อีก

ไม่รู้กลัวอะไร


รู้ตัวอีกทีเราไม่หยิบมันมาใส่เล่นอีกแล้ว

ไม่รู้กลัวอะไร

หรือว่าเพราะเรามีหน้ากากอื่นมาสวมใส่

หน้ากากซึ่งไม่ต้องหาหน้าตาของตัวอะไรมาวาดไว้

เพียงแค่ใจของเราเท่านั้นที่สร้างมันขึ้นมาปกปิดใบหน้าของตัวเอง

หลบซ่อนความรู้สึกของเราจากสายตาผู้คน

ปกป้องเราจากความเป็นจริงที่น่าอัปยศซึ่งเราอาจคิดไปเองว่ามันเป็นเช่นนั้น

หรือ

ปกป้องเราจากความน่าอายที่ผู้คนสามารถมองเห็นจากการกระทำที่มาจากตัวตนของเรา
แม้แต่เวลานอนเรายังรู้สึกต้องแบกรับความตึงเครียดของหน้ากากที่กดทับอยู่


น่าเศร้าเหลือเกิน
ไม่รู้ว่าหน้ากากไหนที่น่าเศร้ากว่ากัน
ระหว่างหน้ากากที่เราไม่สามารถหยิบมาใส่เล่น
กับ
หน้ากากที่เราห่อหุ้มใบหน้าของตัวเราตลอดเวลา
เมื่อไรที่เราจะสามารถถอดมันออกเพื่อเปิดเผยหน้าที่แท้จริงของตัวเองได้
เมื่อไรที่เราจะสามารถปลดปล่อยตัวเองจากหน้ากากที่หนาจนหนักเกินกว่าจะแบกรับได้

Tuesday, June 03, 2008

สีสันของน้ำ



เมื่อก่อนแม่ไม่เคยบังคับให้ดื่มแต่น้ำเปล่าหรอกนะ แต่ไม่รู้ว่าทำไมพอโตมาแล้วเกิดชอบดื่มแต่น้ำเปล่าขึ้นมา

ทั้งๆ ที่น้ำอัดลมหลากสีน่าสนใจกว่าตั้งเยอะ

ยิ่งน้ำแข็งน้ำเย็นก็ไม่แตะ

ประหลาดคนจริงๆ

จนกระทั่งเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาเกิดปวดท้อง

พี่ป๊อปเดินไปหยิบยาในตู้เย็นมาให้ดื่ม

เป็นน้ำสีแดงสดใสน่าชิม

มันคือยาดองนั่นเอง

โอ้ย

ประทับใจ

แรกๆ ไม่อร่อยนะ จนเริ่มมีรสหวานติดที่ริมฝีปาก

เริ่มติดใจขึ้นมาทันที

น้ำสีๆ นี่อร่อยเหมือนกันแฮะ

Friday, May 16, 2008

Well, its time to choose

My life arrives at the cross road again.

It's never easy to me.
I have to make a choice that may lead my life to the different way.

I'm going to change my job.
Change the way I live my life.
Well, I'm try to answer the question of my mind.
What I want to do.
What I want to be.
Now, I think I choose the right way.
Nothing to lose



(to someone that asked me, have I ever written in english? Actually, I wrote in english too. If you read at the begining of my blog, you will see. Hope you enjoy)

Tuesday, April 08, 2008

อัมพวา


เดินไปยิ้มไป

นานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้ปล่อยให้ 2 ขาพาตัวเอง
ไปท่องเที่ยวไกลห่างจากตัวเมือง
เยี่ยมเยียนตลาด ร้านค้า ผู้คนมากหน้า หลายตา
อัมพวามีทั้งเรือ รถจักรยาน สะพาน บ้านไม้เก่าๆ
ส่วนเรานำพาความเหนื่อยล้ามาทิ้งไว้ที่นี่
ฝากให้ลอยไปกับสายน้ำ
ประทับรอยเท้าที่เปลือยเปล่าไว้บนพื้น
เก็บฝุ่นกลับบ้าน
ส่วนหัวใจ ชุ่มชื่น รื่นรมย์ยิ่งขึ้น
มีชีวิตชีวากับบรรดาของที่ระลึกที่น่าตื่นตาตื่นใจ
ขนมอร่อยๆ
ปลาทูสดๆ ทอดราดน้ำปลา
คงไม่ต้องไปหาความสุขที่ไหนไกล
มีโอกาสอีกเมื่อไรจะกลับมาอัมพวาอีกแน่นอน

ดีใจจริงๆ



แม้ว่าเรื่องที่เพิ่งเขียนก่อนหน้านี้
จะมาจากการตั้งโจทย์ร่วมกันของพี่วิภว์

แต่ดีใจที่เรื่องราวในความคิดนั้น
ยังคงดำรงอยู่จริง

...

เรื่องมีอยู่ว่า

เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งได้ไปดูคอนเสิร์ต
Bangkok Soul Much กับเพื่อนๆ โดยบังเอิญ

ความตั้งใจในตอนแรกอยากจะไปนั่งกินข้าวกันเฉยๆ
เพราะเพื่อนอีกคนนึงเพิ่งกลับมาจากอเมริกา

จนไปถึงแล้วรู้ว่าร้านปิดถึงเปลี่ยนแผนกันไปดูคอนเสิร์ตซะอย่างนั้น
กว่าคนจะมากันครบลงตัว กว่าจะได้เข้าไปดูคอนเสิร์ตกันจริงๆ
วงดนตรีก็เล่นไปหลายวงแล้ว
เราได้ดูวง ETC. กับ Groove Rider แค่ 2 วง
แต่กระโดดโลดเต้นกันสนุกสนานมาก
จำได้ว่าเคยสนุกอย่างนี้ตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว
เวลามีวงดนตรีมาแคมปัสทัวร์ที่มหาวิทยาลัย
พวกเราจะออกไปดูวงที่ชอบ
แม้ไม่มีแอลกอฮอลเราก็เต้นกันเหมือนเมาได้
ตอนปี 4 เคยออกไปเต้นทั้งผ้าถุงต่อหน้าน้องๆ เฟรชชี่มาแล้ว
พอย้อนนึกกลับไปตอนนั้นยังตลกตัวเองไม่หาย
ดีใจจริงๆ ที่วันนั้นเราได้ไปดูคอนเสิร์ตด้วยกัน
และจะยิ่งดีใจกว่าถ้าเราได้ไปดูกันอีกในงานต่อๆ ไป
ตอนนี้เริ่มกลับมาใช้ชีวิตแบบเดิมอีกครั้ง
คงจะมีเวลาหาคอนเสิร์ตดูมากขึ้น
(แต่เสียดายเหมือนกันที่อายุปูนนี้แล้วต้องบอกลาผ้าถุงไป
เพราะเวลาใส่ผ้าถุงเต้นแล้วได้อารมณ์อย่างบอกไม่ถูก)

Friday, February 29, 2008

Jazz

เย็นวันนี้ฉันและเพื่อนทั้ง 4 คนนัดกันที่เซ็นทรัลเวิร์ดเพื่อจะได้ออกเดินทางไปงานคืนสู่เหย้าที่ทับแก้ว

ฉันถึงก่อนคนแรกพอดีรู้ว่ามีนิทรรศการภาพถ่าย 9 days in the kingdom จัดแสดงอยู่ที่ Zen เลยเข้าไปชมฆ่าเวลา
ในงานมีภาพถ่ายของศิลปิน 55 คน กับ 9 วันในเมืองไทย
หลายมุมของกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดถูกถ่ายทอดแบบที่ฉันไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นที่ไหนมาก่อน
ช่วงเวลาที่กำลังเดินรอเพื่อนอยู่ในงานภาพถ่ายนี้กลายเป็น
จังหวะการรอคอยที่มหัศจรรย์
เหมือนเราเดินอยู่ในประเทศไทยที่ดูไม่เหมือนประเทศไทยเอาเสียเลย
ระหว่างที่กำลังตื่นเต้นกับภาพถ่ายนุกโทรเข้ามาว่าถึงเซ็นทรัลเวิร์ดแล้ว ฉันค่อยๆ เดินผ่านภาพแต่ละภาพโดยไม่วางตา
พยายามจะกลืนเอาอาณาจักรแห่งนี้ไปทั้งหมดในระยะเวลาอันรวดเร็วที่สุด

แน่นอนว่านุกจะกลายเป็นคนขับรถจำเป็นในวันนี้
คนขับรถมาถึงแล้ว ผู้โดยสารคนหนึ่งคือ ฉัน มาถึงเหมือนกัน รออีก 2 สาวเท่านั้นเราก็จะสามารถออกเดินทางไปนครปฐมได้

พอแฟงกับน้องมาถึงเราทั้ง 4 คนเดินไปคุยกันไป
นึกไปถึงสมัยเรียน
สมัยที่ยังอยู่หอด้วยกัน
แม้แต่ละคนจะมีมุมที่เปลี่ยนแปลงกันไปบ้าง
แต่เมื่อทุกคนมาอยู่รวมกันบทสนทนาของเรามักนำพาไปในทิศทางเดิม

แฟงยังมีเหตุผลหลายแง่มุมสำหรับคำถามสักหนึ่งจากน้อง
นุกยังคงประนีประนอมเมื่อใครสักคนเริ่มทะเลาะกัน
ส่วนฉันมองไม่เห็นตัวเองว่ากำลังยืนอยู่ในตำแหน่งไหนของกลุ่ม
ที่แน่ชัดคือฉันคือผู้รับฟังเสมอ

เราทั้ง 4 ก้าวขึ้นรถฮอนด้าแจ๊ซสีดำของนุก
ออกเดินทางด้วยความสนุกสนานตื่นเต้น
เหมือนเด็กสาววางแผนไปเที่ยว

เดี๋ยวนี้กลุ่มเราเดินทางร่วมกันสม่ำเสมอ
บ้างนัดกันไปเที่ยวต่างจังหวัด
บ้างนัดกินข้าว
บ้างนัดดูมหรสพ ละครเวที คอนเสิร์ต แล้วแต่เทศกาล
แต่เราพยายามเจอกันอย่างน้อยเดือนละครั้ง
ไม่ใช่เพราะทำให้เป็นกฎกติกา
แต่เพราะเวลาจะไปไหนหรืออยากทำอะไรมักจะนึกถึงกันเสมอ

บนรถแฟงพยายามแต่งหน้าไปด้วย
ใครๆ ก็อยากสวยในงานคืนสู่เหย้า เราจะได้ไปเจอเพื่อน พี่ น้อง
ที่สำคัญแฟงเป็นถึงประธานเชียร์ คนรู้จักเยอะแยะ
โทรมไปเดี๋ยวจะแย่
น้องพยายามแต่งบ้างเหมือนกัน
ส่วนนุกมันคงแต่งมาตั้งแต่ออกจากบ้าน
ฉันขอยืมนู้นนี่มาปัดบ้างเพราะกลัวถ่ายรูปออกมาแล้วจะมองไม่เห็นหน้า

เพลงที่เปิดในรถเป็นเพลงสากลทันสมัย
ฉันไม่ได้ฟังเพลงใหม่ๆ นานแล้วตั้งแต่หยุดชีวิตตัวเองให้อยู่กับที่
ถ้าเป็นสมัยเรียนพวกเราจะได้ฟังเพลงใหม่ๆ เสมอ
ฉันจะเอาเพลงใหม่ทั้งไทยและสากลมาเปิดที่ห้อง
แฟงจะขนซีดีมาอัพเดท
น้องนั่งฟังไปกับพวกเรา
นุกยึดซีดีกลับไปฟังที่บ้านตลอด
ศิลปินหน้าใหม่ที่ใครไม่ค่อยรู้จัก ใต้ดิน บนดิน เรารู้จักหมด
ถ้ามีคอนเสิร์ตมาที่มหาลัยพวกเราจะไปดูด้วยกัน
ไปร้องเพลง เต้นระบำ บางทีเผลอรำฟ้อนกันอย่างสนุกสนาน
คอนเสิร์ตฟรีอย่างนี้ไม่ค่อยมีโอกาสได้ดูแล้ว
ยิ่งสมัยก่อนคณะดุริยางค์มักจะมีดนตรีมาแสดงให้ดูอยู่เรื่อยๆ
ทั้งคลาสสิก แจ๊ซ แสดงเดี่ยว แสดงเป็นวง
โรงละครยังได้ต้อนรับนักดนตรีและผู้ฟังอยู่บ่อยครั้ง
บรรยากาศอบอุ่นอิ่มใจ

พอไปถึงงานคืนสู่เหย้าได้เจอเพื่อนเยอะแยะ
นั่งกินนั่งคุยกันไปเรื่อย
ในงานมีการประมูลของเพื่อนำเงินมาช่วยคณะ
มีโชว์ร้องเพลงประจำคณะให้ซึ้งใจกัน
ศิษย์เก่าขึ้นพูดคุยบนเวที

พวกเรานั่งดูอยู่ห่างๆ
(โต๊ะพวกเราห่างจริงๆ)
ประทับใจอยู่ห่างๆ
กิจกรรมและบรรยากาศสนุกสนานไปตามอัธยาศัย

คืนนั้นนุกขับรถพาพวกเรากลับบ้านด้วยรถคันเดิม
ความเป็นเพื่อนของเรายังคงเดิม
ฉันคิดอยู่เสมอว่าพวกเราเมื่อเติบโตขึ้นจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างทีละเล็กทีละน้อย
ซึ่งพวกเราเฝ้ามองเวลานั้นอยู่อย่างใกล้ชิด

สิ่งที่อาจไม่สามารถเปลี่ยนไป
แม้วันเวลาผ่านไปเท่าไร
อยู่ภายใต้พวงมาลัยของนุกในรถฮอนด้าแจ๊ซคันนี้
พวกเราทั้ง 4 คน เมื่อได้มาอยู่รวมกัน
ฉันเชื่อว่าสถานะของพวกเราจะคงเดิม
จังหวะในการพูดคุยและระยะห่างในเดินการจับมือกัน
อ้อมแขนที่โอบกอดกัน
จะยังคงอยู่

แม้เราแก่ตัวลง เมื่อดนตรีบรรเลง ฉันเชื่อว่าพวกเราจะไปดูด้วยกัน
ร้องเพลง เต้นระบำ ฟ้อนรำกันอย่างสนุกสนานเช่นเคย